Friday 11 December 2009

เมื่อรู้..

เคยรู้สึกว่ามึงกำลังทำเรื่องที่ผิด
แต่มึงหยุดมันไม่ได้บ้างหรือเปล่า..










กุรู้อยู่แก่ใจ..
ว่ามันเป็นอะไรที่แย่มาก


นึกไม่ออกเลยว่า
ว่าจะมีอะไรที่แย่และน่าละอายกว่านี้.. ได้อีก


แต่กุหยุดมัน ด้วยตัวกุเองไม่ได้
จริง ๆ แล้วกุเลือกที่จะไม่หยุดมันมากกว่า


เพราะ กุก็ยังเป็นกุคนเดิม


กุคนเดิม ที่เลือกเสี่ยงกับใจคนอื่น
กุคนเดิม ที่เลือกความจริง.. เกินไป


กุคนที่คิดว่า มึงจะเข้าใจ
กุคนที่คิดว่า มึงจะทำเพื่อกุเหมือนที่กุเป็น


แต่นั่นแหล่ะ..
ความเป็นกุ  มันเหนือกว่าที่มึงจะเข้าใจ และยอมรับได้


กุเสียใจ
ที่มันทำให้มึงเกิดความรู้สึกแย่ ๆ
แต่ต่อให้เลือกได้อีก ก็เหมือนเดิม เพราะนี่คือตัวกุ


กุถึงบอกว่า เมื่อรู้ ย่อมต่าง
ไม่มีทางที่มันจะเหมือนเมื่อตอน ไม่รู้












ไม่มีทางเหมือนเดิม..

Friday 18 September 2009

ชีวิตนี้

อ่านของพี่โอ๋แล้วตื๊ดออกมาว่า..






ถ้าชีวิตนี้ เราได้รักใคร หรืออะไรสักอย่าง แบบสุดใจแล้วล่ะก็
เราอยากให้ชีวิตนี้ ยืนยาว และใช้มันให้คุ้มค่า มากกว่าที่เคยเป็น

Wednesday 9 September 2009

ฟ้อนสุดฯ เล่มเก้า

ทำไปทำมา ไม่ทันไร
โผล่มาเล่มเก้าซะแล้ว
ฉบับนี้ส๊วยสวย
ปกสวย เนื้อหาสวย คนทำสวย บอกอส๊วยสวย 55

ไปโหลดมาอ่านกันเถอะ จะได้สวยๆ
(กดที่รูปนะจ๊ะ เดี๋ยวลิงค์ไปหน้าโหลดของฟ้อนสุดฯ เอง)
:p

Tuesday 25 August 2009

พี่ชาย

วันนี้กุไปรับพี่ชายกุที่สนามบิน
จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่พี่จริง ๆ ของกุ



กุไม่มีพี่ชาย แต่กุคิดเอาเองว่า
ถ้ามี ก็คงรู้สึกดีแบบนี้แหล่ะ



ความจริงกุก็ไม่รุ้หรอก
ว่าถ้ามีจริง ๆ แล้วมันจะรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า



แต่มันไม่สำคัญหรอก
กุรู้แค่ว่าเขาดีกับกุ
ดูแลกุ เป็นห่วงกุ เป็นเพื่อนกุ



แต่ที่กุอยากเป็นน้องเขา
ไม่ใช่เพราะกุอยากจะได้รับ
แต่เพราะสิ่งที่กุได้รับจากเขา



มันทำให้กุ อยากตอบแทนเขา
ให้มากเหมือนที่เขาให้กุมา



ถ้าไม่มีเขา
กุคงผ่านชีวิตช่วงนึงได้อย่างยากลำบากที่สุด



เรื่องจริงมันไม่สำคัญหรอก
เพราะเขาเป็นพี่ชายของกุ

Sunday 2 August 2009

ผิด

 มึงทำให้กุรู้ว่า..



เรื่องบางอย่าง วันนี้ไม่ผิด
แต่วันหน้าเราอาจตระหนักได้ว่า จริงๆแล้ว มันผิด



ความสำนึกในความผิด
เป็นความทุกข์ที่กัดกร่อนชีวิตมาก อย่างนึง



ความผิดที่ไม่ได้รับการให้อภัย
มันเป็นอีกขั้นของความทุกข์



ไม่มีโอกาสครั้งที่สอง สำหรับบางอย่าง



กุไม่อยากเจอสายตาของมึง
สายตาที่บอกว่า "ไม่มีวันเหมือนเดิม"



สายตาที่บอกว่า มึงยังไม่เคยลืม
เรื่องเลว ๆ ที่กุทำ



สายตาที่บอกว่า
เรื่องดี ๆ ที่กุทำ ไม่เคยมีค่า




กุเสียใจ กุอยากขอโทษ
แต่กุไม่ได้อยากให้มึงยกโทษให้






ความจริงกุอยากให้มึงสมองกระเทือน
แล้วลืมไปเลยว่าเคยรู้จักกัน




มึงจะได้มีความสุข
ที่ชีวิตนี้เหมือนไม่เคย รู้จักคนเลวอย่างกุ



ถึงมันจะเป็นจริงขึ้นมา



กุก็ยังคงเป็นทุกข์ และเสียใจ
กับความผิดที่กุทำไปแล้ว อยู่ดี



เพราะคงไม่มีวัน ที่มึงจะยกโทษให้กับคนอย่างกุ

Thursday 16 July 2009

เมื่อวาน

เมื่อวาน กุได้เจอคน ๆ นึง
คนที่กุอยากเจอมานานทีเดียว



คำพูด และความคิดที่เคยตั้งใจว่า
ถ้าไปเจอกันเมื่อไร จะพูดออกไป
กลับไม่ได้บอกแม้แต่สักคำ



ก็ดีแล้ว ที่ไม่พูดไป
เพราะกุรู้ตัวดี จากนาทีที่เจอหน้ากัน



ถึงตอนนี้ กุเป็นเพียงเมื่อวาน
เมื่อวานของมัน



ทุกอย่างแม่งเหมือน
ฝุ่น ควั











ไร้ค่าจริงๆ
ตัวกุ..

Saturday 4 July 2009

ติ๋ม


กรรมของคนรู้มาก
คัดลอกจาก นิตยสาร
สารกระตุ้น ฉบับเดือนสิงหาคม
2549 ,หน้า 130
ผู้เขียน :  สุรศักดิ์
กาญจนภูษิต


-----------------------------------


ก่อนเรียนสถาปัตย์ฯ
ผมเห็นบ้านเมืองสวยงามดี
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่มีปัญหา


พอได้เรียนสถาปัตย์ฯ
เริ่มรู้ว่าความงามคืออะไร
รสนิยมที่ดีคืออะไร


ทันใดนั้นเอง
บ้านเมืองที่เคยสวยงามก็เปลี่ยนไป
 กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเกะกะ
ทั้งเสาไฟ เสาทางด่วน
ป้ายโฆษณา
บ้านที่มีเสาโรมันนั่นก็ห่วย
ตึกสูงโด่เด่ในเขตเมืองเก่านั่นก็แย่
 ลามไปถึงวัดที่สร้างอุโบสถ
ผิดสัดส่วนก็ไม่งามตา
เห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจไม่ใช่น้อย

             
แบบที่เรียกว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งทุกข์หรือเปล่า


ก่อนจะสนใจการเมือง
บ้านเมืองดูเหมือนไม่มีปัญหา
 ผมเองก็มีความสุขกับชีวิตดี
             

แต่เมื่อได้เริ่มเสพข้อมูลทางการเมืองมากขึ้น
 ได้รู้ได้เห็นถึงความชั่วร้ายของคนขี้
โกงที่ทำไว้กับบ้านเมืองที่เรารัก
 ย่ำยีผลประโยชน์ส่วนรวมเอาไปเขมือบกันเอง
แถมยังปันหน้าเป็นคนดี
อยู่ในสังคมได้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่รู้ๆกัน


แต่จับไม่ได้คาหนังคาเขา
 ก็ยิ่งสร้างความอึดอัดใจให้กับชีวิตมากขึ้น
แต่ละวันก็มีข่าวใหม่ๆมาให้รู้
ยิ่งรู้ก็ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก
             

แบบนี้เรียกว่าเป็นกรรมของคนรู้มากได้ไหม
 ไม่รู้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว


ก่อนจะรู้จักกับติ๋ม
ติ๋มก็ดูเป็นคนติ๋มๆ ดี จนกระทั่งผมรักติ๋ม
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
             

ผมโทรคุยกับติ๋มเป็นประจำ
คลุกคลีเอาใจใส่ติ๋มจนได้รู้ธาตุแท้ของความเป็นติ๋มมากขึ้น


ติ๋มเปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า
 ติ๋มให้ความหวังกับผู้ชายทุกคนที่หลงเข้ามา บ่อยครั้งที่


ติ๋มต้องโกหกเพื่อสับรางรถไฟ
 หลังจากหัวปักหัวปำอยู่ได้พักใหญ่
 ผมก็รู้ว่าติ๋มเป็นคนเห็นแก่ตัว ใจร้ายหลายใจ
และติ๋มก็มีวิธีป้องกันตัวเองให้ดูดีในสายตาคนอื่นเสมอ


ยิ่งรู้ก็ยิ่งช้ำ ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียด
มันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเราจะไม่รู้อะไรเสียบ้าง
เพื่อให้ชีวิตไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ที่ได้รู้ ได้เห็น
ในเรื่องที่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น

             
ความคิดนี้ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของนักปราชญ์เชนท่านหนึ่ง
ที่ว่า  “ก่อนเรียนเชนฉันเห็นภูเขาเป็นภูเขา
เมื่อได้เรียนเชนฉันเห็นภูเขาไม่เป็นภูเขา
เมื่อเข้าใจเชนฉันเห็นภูเขากลับมาเป็นภูเขา”
         

เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น
ภูเขาที่เคยไม่ใช่ภูเขาก็กลายเป็นภูเขาเหมือนเดิมได้


ดูเผินๆ
อาจเหมือนการเล่นคำให้วกวน
แต่มันกลับทำให้ผมมสนใจคำว่า
“เข้าใจ”  มากเป็นพิเศษ  ไม่
ใช่เพราะใคร ก็เพราะติ๋มนั่นเอง

             
หลังจากที่เจ็บมาพอสมควร
จนจวนจะทนไม่ได้ ก็ควรจะถึงเวลาที่ผมจะตัดใจ
เสียที แต่ยิ่งตัดใจก็ยิ่งฝืนความรู้สึกตัวเอง
ยิ่งฝืนก็ยิ่งฝืด ผมจึงเปลี่ยนยุทธิวีธีรับมือเสียใหม่
แทนที่จะตัดใจก็เปลี่ยนมาทำความเข้าใจติ๋มแทน


ติ๋มเป็นผู้หญิงกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เกิด
แม่ต้องออกจากบ้านไปหารายได้
ทำให้ติ๋มรู้สึกขาดแคลนต้องการเติมเต็มให้กับชีวิต
โชคดีที่ติ๋มเป็นคนหน้าตาดี
ก็เลยมีคนอาสามาช่วยกันเติมเต็มให้กับติ๋มมากมาย


และการที่ติ๋มไม่เคยปฏิเสธคนเหล่านั้น
ไม่ได้หมายความว่าติ๋มเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ติ๋มรู้สึกกลัวที่
จะต้องคอยอยู่คนเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ผมเป็นทุกข์เพราะเห็นติ๋มเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น
ติ๋มเองกำลังเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถหาจุดลงตัวให้กับตัวเองได้เหมือนกัน


เมื่อเข้าใจติ๋ม
ผมก็ไม่เหลือความโกรธเกลียดติ๋มอีกต่อไป
ติ๋มก็เป็นเช่นนี้เอง


มีความสุข มีความทุกข์ในแบบของติ๋ม
ยิ่งผมอยากให้ติ๋มเปลี่ยนไปเพื่อความพอใจของตัวเองเท่าไร
ผมเองนั่นแหละที่จะยิ่งเจ็บ


“ก่อนที่ผมจะรู้จักติ๋ม ผมเห็นติ๋มเป็นติ๋ม
เมื่อผมได้รู้จักติ๋มผมเห็นติ๋มไม่ใช่ติ๋ม 
จนผมได้เข้าใจติ๋ม ติ๋มก็กลับมาเป็นติ๋มอีกครั้ง”


วันหนึ่ง อาจารย์สถาปัตย์ฯ
ท่านหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ
แทบจะร้องยูเรก้าออกมา แล้วบอกว่า “ผมค้นพบแล้ว
เมืองไทยก็คือเมืองรกๆ เมืองหนึ่งนี่เอง 


ถ้าเมืองไทยไม่มีป้ายโฆษณางานวัด
ไม่มีแผงลอยข้างทาง
ไม่มีความไม่มีระเบียบให้เห็นเต็มถนน
เมืองนี้คงไม่ใช่เมืองไทย
พอเข้าใจแบบนี้แล้วก็เลยรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก”


นี่แหละคือประโยชน์ของความเข้าใจ
ในระยะหลังผมจึงเอาใจใส่กับการทำความเข้าใจเป็นพิเศษ
เพราะความเข้าใจในทุกสิ่ง
เป็นการเรียนรู้ที่จะพาเราทะลุความซับซ้อนสับสน
ของเปลือกนอก ไปสู่ความเรียบง่าย
ที่รวมกันเป็นเอกภาพได้จนน่าแปลกใจ
             

ถ้าเรามีความเข้าใจให้ใครสักคน
เราคงไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญเขาได้ลงคอ
คนรู้มากจึงไม่ใช่คนมีกรรม
ถ้าเราสามารถพัฒนาความรู้นั้นมาเป็นความเข้าใจลึกซึ้ง
ชนิดที่รู้ไต๋กันเป็นอย่างดี


เราก็จะอยู่ร่วมกับ
ปัญหานั้นๆ ได้อย่างสงบสุข
เหมือนกับตอนที่เรายังไม่ได้รู้จักมันเลย
เข้าทำนอง“สูงสุดคืนสู่สามัญ”นั่นแหละ


สุดท้ายปัญหาก็ตกอยู่ที่ว่า
ในช่วงชีวิตหนึ่ง คนเราจะสามารถทำความ
เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเกลียดโกรธ กลัว ได้มากแค่ไหน


พระท่านว่าไม่ยากเลย เพียงแค่เริ่มทำความ
เข้าใจตัวเราเองให้ได้ก่อน
แล้วทุกสิ่งในโลกนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากเกินทำความเข้าใจ
มีเรื่องน่าตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอก


พระอาจารย์ “ติช นัท ฮันห์”
พระเชนผู้ยิ่งใหญ่ชาวเวียดนามเคยอธิบายคำว่า
“นิพพาน” ด้วยภาษาง่ายๆ ว่า
มันคือเรื่องของ



“ความเข้าใจ” นั่นเอง


Wednesday 17 June 2009

ศิลปะ

เพราะศิลปะ
กินใจเรา และเราก็อยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า

Tuesday 9 June 2009

หนึ่งขวบ


แจ๊ซของเราก็อายุครบ 1 ขวบแล้ว
ขอขอบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ที่ออกสตางค์ ผ่อนให้ด้วยนะครับ
( ด้วยเงื่อนไขนานา ประการก็ตามที T-T )

ฉลองครบหนึ่งขวบด้วยการเข้าอู่ T-T 
โดนไอ้คนจีนขับมาชน ด่าไม่ออกเลย

แต่ก็ยังดีที่คุยกันได้ด้วยภาษาอังกฤษ
แต่ก็จะได้รับรถวันนี้แล้ว จะได้กลับบ้านเสียที

ปีที่แล้วออกรถมาก็ได้ไปรับพี่แพะ (ในรูป)
ปีนี้เอารถออกจากอู่ก็ได้ไปรับพี่แพะอีก

เวลาหนึ่งปีนี่ 
นานจัง..

Saturday 6 June 2009

ด้านหน้า..

วัฟเฟิลโคตรหอม ที่BTSอนุสาวรีย์ฯ
กุไปยืนต่อแถวดมกลิ่มมันอยู่นานสองนาน


กุไม่ได้อยากกินวัฟเฟิล
แต่คิดว่าจะซื้อไปฝากเพื่อนเมทกุ ของชอบของมัน


คู่รักข้างหน้ากุ เลือกวัฟเฟิลรสนั้นนี้ อย่างสนุกสนาน
เออ บรรยากาศเกาหลีดี เพิ่มความหวานมันขึ้นมาอีก30%


คู่รักจากไป..
อีเจ๊ ที่ไหนไม่รู้ มายืนอยู่ด้านหน้ากุแล้วบอกว่า
อัลมอนด์ หกชิ้น ไอ้นู่นนี่อีกสามชิ้น


อ้าว..
อัลมอนด์ ที่ควรจะเป็นของกุ โดยที่กุไม่ต้องรออบใหม่
ก็หมดไป...


แต่อีเจ๊ ก็ไม่ได้สมปรารถนาง่ายๆ
เพราะอัลมอนด์มีแค่5


แต่อีเจ๊ก็รอ ด้วยความด้านหน้า.. อย่างกระมิดกระเมี้ยน


ทำเป็นดูนาฬิกา ให้กุยกโทษให้กับความด้านหน้า
ทำเป็นลุกลี้ลุกลน คันในความด้านหน้าของตัวเอง


และไม่หันมาสบตากุเลย ในเวลาเกือบสามนาที
กุงง..


คนเรา เป็นอะไรกันไปหมดแล้ววะ
ไม่ต้องพูดถึงความสำนึกผิดถูกนะ


แค่นึกว่า การที่เราได้อะไรมาสักอย่าง อย่างที่มันควรจะเป็น
ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราเองก็สบายใจ


ถูกป่ะ?


พอเราได้ใช้ ได้กิน ไอ้สิ่งนั้น เราก็สบายใจ มีความสุข
อย่างที่มันควรจะเป็น


ไม่ใช่เหรอ?


แล้วอีเจ๊นี่ ทำไมเลือกทางที่มันทรมานตัวเองงี้วะ
มายืนด้านหน้า ให้กุส่งกระแสอาึฆาตใส่อยู่ได้


จากวัฟเฟิลหอมๆ กลายเป็นวัฟเฟิลคุณไสยไปเลย
อร่อยป่ะเนี้ยยยย เวลากินเนี่ย...


จะว่าน่ะก็ว่าได้อยู่
จะไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง ก็ทำมาหมดแล้ว


แต่ที่ไม่ได้พูดไป เพราะกุงงมาก..
ไอ้การด้านหน้าแบบนี้ แม่งออกดอก ออกผล
งอกเงยมาเป็นอะไรบ้างวะเนี่ย


กุไม่เข้าใจ
เลยจริงๆ..

Thursday 28 May 2009

นั่นสิ..

มึงหายไปจากชีวิตกุ ไม่ใช่เรื่องแปลก
แล้วถ้ากุหายไปไปจากชีวิตมึง จะแปลกไหม?

Sunday 10 May 2009

Wish List1

รวมของสนองความอยากได้
ของช่วงปีนี้ และปีที่ผ่านมา

  1. HTC Pharos
    ใช้ดีทนทาน ตกมาแล้วสามครั้งยังไม่พัง 55
  2. Honda Jazz2009
    กลาย ๆ ว่าจะเป็นรถกระบะแล้วล่ะ

  3. Philips MCD-908
    ใครรักเสียงเพลงแนะนำอย่างแรง

  4. จักรยานเสือภูเขา
    อยากได้ Wahoo สีขาวง่ะ เก็บตังค์อยู่

  5. ชุดโฮมเธียร์เตอร์ 5.1
    ยังไม่ได้ตัดสินใจเล้ยยยย ไม่มีตังค์

  6. LCD TV
    เลือกไม่ถูก เหตุผลเดียวกับข้างบน

  7. Flash
    รอถูกหวย เงินเหลือก่อน จะซื้อนะ

  8. ขาตั้งกล้อง
    อันนี้อยากได้เฉยๆ แต่ไม่อยากเอามาใช้ หนัก

  9. บ้าน
    ไม่ได้อยากซื้อนะ อยากแต่งบ้านนนนนที่สุดดดดด

Tuesday 5 May 2009

ไม่ใช่

วันนั้นกุนอนไม่หลับ

กุไม่รู้ทำไม
กุรู้แค่ว่า กุคิดมาก

กุไม่รู้ว่าทำไม
กุรู้แต่ว่า อะไร

กุว่ามึงมีความสุขดี
กุอยากมีบ้าง

กุว่ากุมีไม่ได้
แต่ไม่รู้่ว่าทำไม

เวลามึงมีความสุข
กุก็มีความสุข

แต่ครั้งนี้มึงมีความสุข
กุกลับรู้สึกเศร้ากับตัวกุเอง

กุเปรียบเทียบ
ตัวกุเองกับมึงเป็นครั้งแรก

กุไม่ได้อิจฉามึง  ถึงกุจะพูดว่าแบบนั้น
กุรู้สึกยินดีกับมึง มากเท่ากับที่กุสงสารตัวเอง

ไม่ใช่ว่า กุจะมีไม่ได้ ทำไม่ได้
แต่กุรุ้อยู่แล้วลึกๆว่า






นั่นน่ะ มันไม่ใช่







กุไม่รู้ทำไม
กุว่า..

จริงๆแล้ว
กุไม่ได้อยากจะมีความสุขหรอก

Saturday 11 April 2009

เรื่องเก่า

ที่เราเคยโกรธ
ที่เราเคยเจ็บ


หากเราลืมมันไปได้แม้ในช่วงนึง
ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการให้อภัยแล้ว

Thursday 2 April 2009

Philips MCD-908

เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเป็น "หนี้" อย่างจริงจัง
เคยลองฟังเครื่องเสียงตัวนี้ที่โฮมโปร เมื่อปีที่แล้ว 
ตั้งแต่มันออกใหม่ๆ นั่นแหล่ะ

พอยืนอยู่เบื้องหน้ามันนะ เหมือนตัวเราหลุดหายไปในจักรวาลอื่นเลย
แต่เนื่องจากราคาสุดกู่ของมัน จึงคิดแล้ว คิดอีก คิดเล่า
เพียรแวะเวียน ไปเยี่ยมมันตามห้างเครื่องเสียงต่างๆ อยู่เสมอๆ
ไปกับใครก็ชวนไปยืนฟัง จนเขารู้กันทั่ว ว่ากุอยากได้มากกกกก

ผ่านไปด้วยเวลาเป็นปีๆ ราคาลด 60% แบบนี้ ไม่สอยก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
ลงไปดิ้นๆ ยอมใช้เงินเก็บทั้งหมด(ที่ไม่ค่อยจะมี) และกู้เงินแม่อีกจำนวนหนึ่ง
ซื้อมาก็เครียด แต่ไม่ซื้อท่าจะเครียดกว่า ฮ่าๆ

ตอนนี้ยังไม่ผ่านช่วง burn-in แต่ก็เพราะในระดับนึงแล้ว 
เสียงหวานๆ อู๊ยยยยยยส์ 
ผลาญค่าเครื่องไปยังไม่พอ มันยังทำให้เราขวนขวาย
ไปหาแผ่นเพลงเพราาะ ที่เราชอบ ซื้อมาฟังกับมันอีก
เฮ้อ...

สงครามนี้อีกยาวไกล
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ T-T


บรรยายความเพราะของมันไม่ถูก
ลองอ่านรีวิว จากโปรๆเขาดูละกันครับ จากเว็บออดิโอทีม

(บอกไว้ก่อนว่า ไอ้อาการประทับใจตัวมันนั้นนี้ เกิดขึ้นก่อนจะได้อ่านรีวิว
แต่หลังจากอ่านแล้ว ยิ่งลึกซึ้ง และคิดว่าคุ้มค่ามากขึ้นไปอีก)

Thursday 5 March 2009

5บาท

สมมุติว่า
คุณอยู่ในรถตู้คันหนึ่ง




ค่าโดยสารคนละ 25บาทตลอดสาย
คุณจ่ายไปตามจำนวน ทุกคนจ่ายหมด




แต่พอนับดู เงินขาดไป 5 บาท..!




ถ้าคุณเป็นคนขับคุณจะเลือก...
ก.ช่างมัน
ข.ทวงอีกห้าบาท
ค.คืนเงินและ...จอด



ถ้าคุณเป็นผู้โดยสารคุณจะเลือก..
ก.ช่างมัน
ข.ช่วยทวงอีกห้าบาท
ค.ควักให้เขาไปอีกห้าบาท



แต่กุดันเจอกับตัวเอง
มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก
ที่เงินห้าบาททำให้คนทั้งรถเครียด กันได้ขนาดนี้



ตอนที่ทุกคนรวมเงินให้คนขับ
คนขับก็ขับเควี่ยมาก ตอนส่งเงินกันเกือบครบแล้ว
เหมือนเงินจะหล่น แล้วก็ก้มเก็บกันจนครบ
แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ครบ...






ขาดไป ห้าบาท







คนขับเลือก ที่จะทวง แล้วตามด้วยด่า
แล้วตามด้วยคืนเงิน เพื่อ?



แต่เจ๊คนสวยที่นั่งข้างหน้าผม ควักจ่ายให้
คนขับรับเงินมานับอย่างสบายใจ แล้วก่นด่า เรื่องเงินนั้น
แต่คนขับก็ยังขับรถเควี่ยๆ เหมือนเดิม



คนนั่งก็รู้สึกเหมือนโดนโกง กุจ่ายไปครบแล้ว
แล้วทำไมกุต้องจ่ายอีกด้วย



คนขับก็รู้สึกเหมือนโดนโกง แม่งนั่งกันเฉย
มาโกงกุกันทำไม



แต่เจ๊คนสวย คงคิดว่า ถ้าห้าบาทยุติทุกอย่างได้
กุยอมเสียรมณ์โดนโกงคนเดียว แต่เสียสละ ควักจ่ายให้ก็ได้





กุว่าคนขับแม่งโกง
เพราะแม่งเอาเงินจากเจ๊คนสวยไปอีกห้าบาท
ทั้งๆที่เขาจ่ายครับแล้ว





แต่ถ้าคนขับไม่เอาเงิน
กุก็ว่า ไอ้พวกคนนั่งแม่งโกง (กุด้วย)
แต่สุดท้ายคนขับแม่งก็เอา




แต่กุว่าทุกคนแม่งโกง
ยกเว้นเจ๊คนสวย





เป็นอันสรุปได้ว่า ในรถนี้ทุกคนคิดว่า
ใครเสียประโยชน์ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กุ






กุว่าโลกนี้มันคงดี ถ้ามีคนอย่างเจ๊คนสวยนี่เยอะๆ






แต่กุว่าที่โลกนี้มันเป็นแบบนี้อยู่
ก็เพราะมีแต่คนคิดว่าตัวเองโดนโกง ไม่เสมอภาค
พอมีโอกาสจะหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ เลยตักตวงกันใหญ่เลย
โดยไม่สนว่า ไอ้สิ่งได้มานั้น มันมาจากความไม่ยุติธรรมหรือเปล่า
มันมาจากการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นอยู่หรือเปล่า





กุเพิ่งเข้าใจนี่แหล่ะว่า...
จะนักการเมืองการแม้ว
หรือคนที่ด่านักการเมือง









แม่งก็ชอบทำสันดานเหมือนๆกัน







ป.ล.2 หลังลงจากรถ กุได้ไปซื้อไก่ทอด แม่ค้าสับให้ แล้วเผอิญ...มันกระเด็นลงจากเขียงไปชิ้นนึง กุเสียดายมากกกกก เพราะกุอยากกินตรงนั้นพอดี แต่กุก็คิดว่าไม่เป็นไร มันอันนิเดียวเอง แม่ค้าแกยิ้มๆ แล้วหยิบไก่ทอดชิ้นเล็ก (ที่มันใหญ่กว่าชิ้นที่ตกเขียงไปมากๆ) ใส่ถุงให้กุ โอ้...กุรักแม่ค้าขึ้นทันที

ป.ล.1 กุขอด่าไอ้คนขับหน่อย หยาบคายมาก รับไม่ได้ข้ามไปเลยนะครับ ทำไมมึงไม่คิดบ้างล่ะว่า ที่เงินมันไม่ครบ เพราะมึงขับเควี่ยมากๆ ถ้ามึงไม่ขับแบบนั้น เงินแม่งไม่หายหรอก ถ้ายี่สิบบาทยอมจ่าย จะงกทำแม้วไรวะ ห้าบาท ฟาย แล้วมึงก็ทำให้ทุกคนรู้สึกผิด ว่าโกงมึง แต่มึงขับรถเควี่ยจริงๆ ถ้ากุเป็นสิบล้อหนึ่งในหลายๆคันที่มึงตีไฟใส่นะ กุถอยมาชนมึงแล้ว แสรด รถเข้าซอย ก็วิ่งได้ทีละคัน แล้วมึงจะตีไฟให้เขาหลบมึงยังไง ให้ไปวิ่งบนกบาลแ่ มึงเหรอ แสรดดดดดดดด 

Saturday 7 February 2009

แคร์

ถ้าคนเราแคร์ใครซักคนจริงๆ
เราจะยอมลดการกระทำที่ทำให้เค้าเสียใจได้

Wednesday 14 January 2009

ช่วงนึง

ช่วงนี้ห่างหายจากบล็อกไปนานมาก
ด้วยความยุ่งจากงาน และเรื่องรอบตัว

ตอนนี้หายยุ่งไปบ้างแล้ว แต่ความสุขอุ่นๆ
ที่กรุ่นอยู่ ทำให้เราไม่อยากจากมันไปทำอย่างอื่น
(เป็นข้ออ้างของการไม่เขียนบล็อก 55)



บล็อกวันนี้
ขอเป็นเพียงบันทึกเหตุการณ์ช่วงนี้ไว้สักหน่อย

สุขในเรื่องงาน
งานคืนสู่เหย้าที่ผ่านไป ประสบความสำเร็จด้วยดี
ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง ในสายของตัวเองเต็มที่
งานนี้ให้อะไรกับเรามาเยอะ แต่แย่ตรงที่
ไม่ค่อยมีเวลาให้ที่บ้านเลยช่วงนั้น

สุขเรื่องคนรอบตัว
มีเพื่อนใหม่
ที่กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิท
ที่น่าจะสำคัญกับตัวเรามากในหลายปีข้างหน้านี้


มีรุ่นน้องน่ารักๆ เพิ่มขึ้นสองรุ่น
คงมีโอกาสได้พบปะ สังสรรค์กันอีก ตามวาระ


ใช้เวลากับเพื่อนเก่า
สร้างความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าไปมากกว่าเดิม
มองเห็นอะไรๆ ที่เคยมองผ่านๆ
เจออะไรดีๆ ที่เคยมองข้ามไป


เที่ยวกับเพื่อนรัก
เวลาดีๆ ที่อยากให้มันยาว ไปอีกนานๆ
ไม่ได้ลุย ไม่ได้เปี้ยว เหมือนวัยรุ่น
แต่กลับลึก คุ้มและรู้สึกดีกว่าที่เคยๆ




มากกว่านี้ ยังไม่เคยเจอ
แต่ตอนนี้ อบอุ่นที่สุดในชีวิตแล้ว :)